การย้อมฟิล์ม (Film Dying)
คือ การ ทำให้ฟิล์มมี สีต่าง ๆ โดยนำเนื้อฟิล์มโพลีเอสเตอร์ (Polyester)แช่ในสี แล้วนำไปอบในเตาอบที่อุณหภูมิสูง ทำให้สีซึมเข้าไปในเนื้อฟิล์ม จนเป็นเนื้อเดียวกับฟิล์ม เรียกว่า Dyed Film สีที่ผ่านขบวนการนี้จะไม่หลุดหรือลอกออกได้ เนื่องจากสีและฟิล์มได้ ผสานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างถาวร ขบวนการนี้จะต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าสีที่ได้นั้นถูกต้องตามต้องการและไม่หลุดลอก การย้อมสีจะช่วยลดการสะท้อนแสงของฟิล์ม และเพิ่มความสวยงาม นอกจากนี้ ฟิล์มย้อมสียังสามารถนำไปผลิตร่วมกับฟิล์มฉาบโลหะ เกิดเป็นฟิล์มชนิดต่าง ๆ เช่น Dyed Film/Electron Beam และ Dyed Film/Sputter ทำให้ฟิล์มมีคุณภาพดีขึ้นอย่างมาก
การเคลือบโลหะโดย สุญญากาศ (Vacuum Metallizing)
อุตสาหกรรมการเคลือบโลหะเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ในระยะแรกมีการเคลือบโลหะลงบนแผ่นผ้าหรือ แผ่นฟิล์ม เพื่อ ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ หีบห่อ หรือ เพื่อความสวยงาม เท่านั้น ต่อมามีการคิดค้นวิธีการ “สปัตเตอร์ริ่ง” (Sputtering) ขึ้นเพื่อใช้ในการเคลือบโลหะ ในเริ่มแรก นักวิทยาศาสตร์ได้เลือกใช้ อลูมิเนียม เนื่องจากโลหะอลูมิเนียมสามารถควบคุมได้ง่าย ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการ ด้าน สปัตเตอร์ริ่ง และ การใช้ลำแสงอิเล็กตรอน ( Electron Beam) ทำให้การเคลือบโลหะ (Mettalizing) พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ฟิล์มกรองแสงที่ผลิตขึ้นสามารถกันความร้อนได้สูงขึ้น มีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น และ ทนทานมากขึ้น ฟิล์มกรองแสงที่เคลือบด้วยโลหะจึงสามารถกันความร้อนได้ดีที่สุด
การเคลือบด้วยละอองอลูมิเนียม (Aluminum Evaporative Mettallizing)
นักวิทยาศาสตร์ได้เลือก อลูมิเนียมเป็นโลหะสำหรับเคลือบลงบนฟิล์ม เนื่องจาก อลูมิเนียมมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ และควบคุมง่าย ในเริ่มต้น อลูมิเนียมจะถูกความร้อนเผาจนละลายและกลายเป็นละอองหมอก ( Metal gas) ซึ่งจะลอยไปจับอยู่บนฟิล์ม และเมื่อมันเย็นลงโลหะอะลูมิเนียมจะเคลือบอยู่บนฟิล์มจนเป็นเนื้อเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การเคลือบฟิล์มด้วยละอองโลหะก็มีขีดจำกัด เนื่องจากมีโลหะเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเช่น อลูมิเนียม (หลอมเหลวง่ายและกลายเป็นละออง) ฟิล์มที่มีคุณภาพสูง (High Performance Films) ส่วนมากจะผลิตด้วยวิธีการนี้
การเคลือบด้วยลำแสงอิเล็กตรอน ( Electron Beam Metallizing)
การเคลือบโลหะด้วยลำแสงอิเล็กตรอนก็คล้ายกับการเคลือบด้วยวิธีละอองอลูมิ เนียมดังกล่าวข้างบน แตกต่างกันตรงขบวนการใช้ความร้อน กล่าวคือ ลำพลังงานอิเล็กตรอน (Electron Beam) ถูกยิงไปยังโลหะที่จะเคลือบ ทำให้โลหะแตกตัวเล็กถึงขนาดโมเลกุล และกลายเป็นก๊าซหรือละอองหมอก ละอองหมอกนี้จะลอยตัวไปจับบนแผ่นฟิล์ม และเมื่อมันเย็นลง โลหะจะเคลือบอยู่บนฟิล์มอย่างสวยงาม วิธีการนี้ ความร้อนจากพลังงานอิเล็กตรอนจะมีความร้อนแรงกว่ามาก ทำให้ผู้ผลิตสามารถเลือกใช้โลหะต่างๆได้มากชนิดขึ้น ฟิล์มที่เคลือบโลหะด้วยวิธีนี้ หลังจากติดตั้ง น้ำในเนื้อฟิล์มจะละเหยหรือแห้งเร็วกว่าฟิล์มที่เคลือบด้วยสปัตเตอร์ริ่ง รวมทั้งฟิล์มจะไม่เกิดฝ้าหลังติดบนกระจก
การเคลือบด้วยสปัตเตอร์ริ่ง (Sputter Metallizing )
การเคลือบโลหะด้วยระบบสปัตเตอร์ (Sputter) เป็นวิทยาการใหม่ล่าสุดแห่งยุคอวกาศ วิธีการสปัตเตอร์ทำให้สามารถเลือกใช้โลหะ ได้หลากหลายมากกว่าวิธีอื่นๆ นักวิทยาศาสตร์จะใช้ประจุไฟฟ้าก๊าซอากอน (Electrically charged gas Argon) ยิงไปที่โลหะ ทำให้โลหะแตกตัวเป็นโมเลกุลและอะตอม ซึ่งจะลอยไปเคลือบลงบนแผ่นฟิล์ม Polyester โดยเรียงกันทีละโมเลกุล ๆ อย่างแน่นหนาและเรียบ ทำให้ได้ฟิล์มที่ สวยงามและคงทนอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากโมเลกุลของโลหะที่เรียงตัวอยู่บนแผ่นฟิล์มจับตัวกันอย่างแน่น มาก ทำให้หลังการติดตั้งฟิล์มบนกระจก น้ำที่เกาะอยู่บนกระจกจะแห้งช้ากว่า และมีฝ้าเกิดขึ้น แต่ว่าฝ้าและน้ำจะหายไปในที่สุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ ฟิล์มที่เคลือบด้วยระบบสปัตเตอร์ จะมีความสวยงาม คงทน สะท้อนแสงต่ำ และกันความร้อนสูง
การเคลือบชั้นป้องกันการกัดกร่อนของโลหะเงิน (Corrosion Protected Silver)
ฟิล์มที่เคลือบด้วยโลหะเงินจำต้องมีชั้นป้องกันการกัดกร่อนของโลหะเงิน (Silver) โลหะเงิน เป็นโลหะที่ดีที่สุดในการสะท้อนรังสีอินฟราเรด (Infrared) ฉะนั้นฟิล์มที่เคลือบด้วยเงิน จึงสามารถลดความร้อนได้ดีเยี่ยม และเพื่อป้องกันไม่ให้โลหะเงินถูกกัดกร่อนหรือเกิดสนิมจึงจำเป็นต้องเคลือบ ชั้นฟิล์มด้วยชั้นโลหะผสมทับลงบนชั้นโลหะเงินอีกทีหนึ่ง โลหะชั้นพิเศษที่เคลือบนี้ยังช่วยลดแสงสะท้อนของฟิล์มด้วย
การเคลือบชั้นพิเศษอื่น ๆ ( Special Coating Layers)
ฟิล์มกรองแสงที่ดี ต้องมีการเคลือบชั้นพิเศษอื่นๆ อีกหลายชั้น อาทิ ชั้นเคลือบกันการขูดขีด ชั้นกัน UV ชั้นโลหะพิเศษเพิ่มการกันความร้อน (Special Heavy Metal for High Heat rejection) เคลือบชั้นกันรังสี อินฟราเรด ชั้นกาวพิเศษเพื่อเพิ่มความเหนียว ชั้นลดการสะท้อนแสงของโลหะ เป็นต้น